วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2550

In Memory

Bee Gees - Alone(Live)



หลงไหล คลั่งไคล้ :)

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2550

Lo fi lung band



Lo Fi Lung is genre Alternative / Electroacoustic / Electronica band in UK


วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2550

Line

บางเวลาเหนื่อยเเละล้าใจ ความเป็นไปกลับสลายไป

Aura of sky and river

>>ณ หนองงูเห่า Bangkok university


>>ณ กาญจนบุรี

>> ณ ริมเเม่นำเจ้าพระยา

A day before you came

เป็นโปรเจ็คที่มาจากการที่ได้เดรียนในวิชา digital sound design จึงได้มีการทำเพลงเพื่อเป็นการส่งงานหนึ่งเพลง เเละวงเราก็คือวง A day before you came เเละนี่คือรูปแบบของปกซีดีหรือเเพ๊คเกตที่ส่งตอนท้ายเทอม เนื่องจากว่าตัวเต็มหาย เลยมีอยู่เเค่หน้าปก ฮ่าๆ



photo by ne

at Jacksonville in Sukhothai

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ธรรมะ กับ อธรรม

ณ เชียงใหม่
สีบ่งบอกให้รูถึงธรรมะ เเละ อธรรม อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในความเป็นจริงเเล้วมันก็อธรรมทั้งคู่เเหละ ซึ่งดูจากรองเท้าของฝ่ายธรรมมะก็พอจะรู้ว่ามีความเป็นอธรรมพอสมควร อาจจะไปเอามาจากวัดไหนก็ได้โดยที่คนอื่นไม่รู้

Light of Night

>> ซอย รามบุตรี ถนนข้าวสาร

Awaiting the end




LOGO OF WITCHEXCORE

สร้างมาจากคาเเร็คเตอร์ของตัวเองที่เพื่อนๆสามารถเห็นเเละจำได้ง่าย

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2550

Advertising of Wanderbra



เป็นงานในวิชาของ advertising 2 ได้โจทย์มาในเรื่องของสินค้าสำหรับผู้หญิง wanderbra สิ่งที่จะเสนอคือใส่เเล้วดูใหญ่ขึ้นเลยใช้ในเรื่องของชีวิตประจำวันของคู่รักมานำเสนอ

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2550

Thx for SEQUENCE

ขอขอบคุณคำเเนะนำดีดี เเละคอมเม้นต่างๆทำให้ผมรู้ว่างานเรามันสามารถไปได้อิก ผมอาจจะไม่คุ้นเคยกับการสอนเเบบนี้ในตอนเเรกเเต่ก็พยายามปรับตัวจนก็เริ่มชินได้บ้าง ถ้าผมหยุดงานไปตั้งเเต่ตอนเเรกที่มาก็คงไม่ได้งานที่หนีออกมาจากเดิมอิกเเน่ เเล้วทำให้พวกเราคงคิดถึงคำนี้ไปอิกนานเเสนนาน ขอบคุณคับ
อ. ติ๊ก .สันติ ลอรัชวี
อ. นุ .อนุทิน วงศ์สรรคกร

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2550

วิธีพัฒนาสมอง โดยคุณหนูดี


ทิปส์ในการพัฒนาสมอง

สมองของคนเรามีน้ำหนักเท่ากับร้อยละ 2 ของน้ำหนักร่างกายโดยสมองใช้ออกซิเจนร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4 ของการใช้ออกซิเจนในร่างกายทั้งหมด
การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม


อัจฉริยภาพ มี 8 ด้านที่ว่า ได้แก่ อัจฉริยภาพด้านภาษาและการสื่อสาร อัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว อัจฉริยภาพด้านมิติสัมพันธ์ อัจฉริยภาพด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจในตนเอง อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจผู้อื่นและมนุษยสัมพันธ์ อัจฉริยภาพด้านธรรมชาติ และอัจฉริยภาพด้านดนตรี

อัจฉริยภาพของคนไม่ได้อยู่ที่เซลล์สมอง ไม่ได้อยู่ที่น้ำหนักสมองและไม่ได้อยู่ที่รอยหยักของสมอง แต่อยู่ที่เส้นใยสมองและไมยีลินหรือไขมันสมองมาห่อหุ้ม เนื่องจากเซลล์สมองตายไปทุกวัน แต่จะมีการสร้างเส้นใยสมองใหม่ๆ เกิดขึ้นโดยการทำซ้ำๆ กัน

ดังนั้น อัจฉริยภาพสร้างได้โดยการทำซ้ำๆ กันนั่นเอง เช่น หากเล่นเปียโนไม่เป็น แต่ถ้าฝึกทุกวันเป็นเวลา 2 ปี ก็จะเป็นคนใหม่ที่เป็นอัจฉริยภาพด้านเปียโนได้

อย่างไรก็ตาม คนที่มีเส้นใยสมองมากที่สุดไม่ได้เป็นคนที่ฉลาดที่สุดเพราะสมองมีเนื้อที่จำกัดในการเก็บเส้นใยสมอง สมองจึงมีการ "รีดทิ้ง" เส้นใยสมองในส่วนที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในเวลานั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่าเด็กแรกเกิดมีเส้นใยสมองมากที่สุด เมื่อเทียบกับเด็กคนเดียวกันในอายุ 6 ขวบ และ 14 ปีและยิ่งโตขึ้นเส้นใยสมองยิ่งน้อยลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะโง่กว่าเดิม นั่นเป็นเพราะว่าสมองมีการจัดเก็บและมีแบบแผนในการเก็บเส้นใยสมอง

วิธีพัฒนาสมอง

1. จิบน้ำบ่อย ๆ
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดี
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิดระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้นทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้นทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่
คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี
ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึก ๆ
สมองใช้ออกชิเจน 20-25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง
ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %

ที่มา : http://women.sanook.com/dreammodel/women/women_42610_3.php

Final Sequence of DRUMS

เริ่มต้นงานได้มาจากในเรื่อง sequence ของกลอง จึงได้หยิบเอาโครงสร้างของการตีกลอง ของกลองเเต่ละใบมา พอได้โครงสร้างมาจึงนำมาสร้างงานในรูปเเบบของ timebase media จากที่ได้โครงสร้างเเล้วก็ทดลองไปหลายอย่างเเต่ก็จะออกมาในรูปเเบบที่ยึดติดกับกลองมากเกินไปจึงไม่หลุดออกมาเพื่อเจอสิ่งใหม่ๆสักที เเล้วสุดท้ายก็ไปทดลองใน element อื่นๆ ในหลายรูปเเบบจนมาจบที่ในรูปเเบบของการที่ใช้ type มาทำงาน นำเสนอเป็นจังหวะของเสียงของกลองเเต่ละใบ

Poster and CD



SKETCH OF DRUMS SEQUENCE

นี่คือเสก็ตที่ผ่านมา กว่าจะมาใช้ type ในการทำงานนี้






Understanding Design Concept

ความรู้สึกที่มีต่อวิชานี้ ตอนเเรกที่ลงเนื่องจากว่า สิ่งที่ผมลงตอนนั้นคือเกี่ยวกับวิชา typography เเต่คนไม่ครบเลยไม่ได้เปิด วิชานั้นไป เเล้วก็มีอาจารย์ที่สอนวิชาโฟโต้อยู่ในตอนนั้นที่เรียนอยู่ปีสอง เค้าได้เเนะนำว่าการเรียนเกียวกับการออกเเบบนั้นถ้า ระบบของความคิดไม่ดีก็จะค่อนข้างยากที่งานจะออกมาเเข็งเเรงในด้านของความคิด จึงเเนะนำให้ลง ตอนนั้นผมก็ยังไม่รู้หรอกว่ามันคือวชาที่ว่าด้วยเรื่องอะไร เเต่ที่รู้มานิดๆคือมันคือวิชาที่เกี่ยวกับการที่เราเรียนรู้เกี่ยวกับ concept เนี่ยเเหละ เเต่พอได้มาเรียนจริง มันก็ไม่ใช่อย่างที่ผมคิดอย่างเดียวเสมอไป ได้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบของความคิดหลายอย่าง ที่อาจารย์ได้นำมาให้วิเคราะห์ ได้เรียนรู้ระบบการคิดงานว่าควรจะทำอย่างไรให้เป็นระบบความคิดโดยที่ตรงกลางไม่กลวง อย่างที่ผ่านๆมาของผม ว่าควรคิดเป็นระบบ ก่อนที่จะลงมือทำงานออกมาเป็นชิ้นสมบูรณ์ โครงสร้างทางความคิดต้องเเน่หรือใกล้เคียงที่สุด ทั้งที่เมื่อก่อนผมจะคิดเป็นงานชิ้นสุดท้ายมาก่อนเลย จึงทำให้ส่วนความคิดเเรกๆไม่มีหรือกลวงมาก มันหลวมๆ เเต่พอมาเรียนวิชานี้ก็ทำให้ผมรู้ไรมากขึ้น ถึงเเม้จะไม่ดีที่สุด เเต่อย่างน้อยผมก็รู้ตัวว่าผมมีไรมากขึ้นกว่าเดิมบ้าง ถึงไม่มากเเต่ก็มีบ้างได้เรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์หลายๆอย่างที่ให้มา เเม้บางทีอาจเป็นเรื่องใกล้ตัวบางอย่าง บางทีเราก็ไม่สังเกต เเต่เดี๋ยวนี้ก็ค่อนข้างมองเเละสังเกตบ้างมากขึ้น เเละของบางอย่างเราก้เริ่มที่จะไปสงสัยกับมันบ้างว่ามันมีที่มาอย่างไร ผมไม่เสียใจเลยที่ได้มาเรียนวิชนนี้ เเละเป็นวิชาที่สนุกมากสำหรับผม เเม้วันอังคารกะวันพุธบรรยากาศจะต่างกันก็ตาม เป็นวิชาที่ไม่เครียด เเต่ล้านเเฝงไว้ให้คิดได้เสมอ อย่างเช่นเรื่องพระอาทิตย์ขึ้นกับตกต่างกันอย่างไร ซึ่งผมก็ไม่เคยไปใส่ใจกะมันเหมือนกัน จนทุกวันนี้ก็จะพยายามมองทุกครั้งเวลามีโกาสได้เห็น เเละได้ไปเล่าให้เพื่อนฟังบ้างเกี่ยวกับวิชานี้ จนทำให้เพื่อนบางคน อยากจะมาเรียนบ้างเหมือนกัน ผมอยากให้วิชานี้มีตั้งเเต่ตอนปีสองเลย เริ่มให้รู้จักความคิดก่อน เเต่อาจารย์บอกว่าอาจะไม่เปิดอิกเเล้ว น่าเสียดาย ผมดีใจมากทีได้เรียนรู้วิชานี้
"Understanding Design Concept"
cheer up!!!!!!!!

Statement of my life 2

เพิ่มเติมจากอันที่เเล้วที่ยังไม่มีไรเเน่ชัด ที่ผมต้องการเรียนจบเเล้วไปทำงานเป็นนักออกเเบบนั้นคือต้องการเป็นนักออกเเบบที่ดี คือนักออกเเบบที่มีคนที่ต้องการเรียกใช้งานเรา โดยไม่ต้องผ่านการฝากฝังจากใคร เเต่การที่ถูกใครไปฝากฝังก็ไม่ใช่ไม่ดีก็อาจจะทำให้เราต้องทำให้ได้อย่างที่คนไปฝากเราจะได้ไม่เสียชื่อ หรือทำให้เค้าผิดหวังนั่นอาจจะทำให้เราเสียเครดิตไปเลยก็ได้ การเป็นนักออกเเบบที่ดีในความคิดของผมที่มองตัวผมเองนั้นค่อนข้างยากพอสมควร เนื่องจากว่าผมเป็นคนค่อนข้างขี้เกียด เเละ ค่อนข้างถูกชักจูงง่ายจากสิ่งเร้าท ี่มีมากมายในปัจจุบัน เเต่ผมก็ต้องพยายามเอามันมาให้ได้ไม่มากก็น้อยหรือใกล้เคียงที่สุด จากนี้ผมอาจจะต้องทำ ทำทำทำทำทำงานให้มากที่สุด ศึกษางานในด้านนี้ให้มาก เปิดกว้างในทุกๆเรื่อง เพราะเรื่องทุกอย่างมันล้วนเเต่เกี่ยวกับอาชีพเราทั้งนั้น หรือการเริ่มสร้าง connection ให้กับตัวเองนั่นเอง เพื่อที่จะทำให้ชีวิตนักออกเบบของเรามีคนที่เชื่อถือ ผมชอบคำที่บอกว่าอาชีพหมอเป็นอาชีพที่สำคัญมาก ไม่ว่าใครก็ต้องเชื่อหมอ เป็นอาชีพเเรกๆที่สำคัฃญ เเล้วเราจะทำให้อาชีพของเราเป็นได้เท่าหมอได้อย่างไร หรือใกล้เคียงให้ได้อย่างไร เลยเป็นสิ่งที่ผมค่อนข้างเก็บบเอามาคิดอยู่เหมือนกัน เเละสักวันผมก็อยากเป็นเเบบหมอ เพื่อที่จะมีคนมาเชื่อถือเรา การออกเเบบที่เราสามารถทำงานในความคิดของเราเเล้วพูดให้เค้าเชื่อได้ว่าของเรานั้นดีหรือประมาณว่าสามารถทำให้เค้าเชื่อใจเราได้นั้นค่อนข้างยาก เเต่ทำได้ นั้นย่อมเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะมีคนมาเชื่อถือเรา
ส่วนอิกอาชีพที่ผมต้องการจะเป็นคือเกี่ยวกับวงการโฆษณา เเละที่ผมต้องการจะเป็นก็คือนักออกเเบบโฆษณาที่ดี ที่สามารถนำความรู้ที่มีการออกเเบบมาสร้างผลงานโฆษณาที่ดีได้ เนื่องจากผมชอบดูโฆษณาของไทยบ้าง ต่างประเทศบ้าง มีอาจารย์เเนะนำว่าควรทำ portfolio เก็บไว้บ้างเพื่อที่สักวันผมอยากจะไปทำงานเกี่ยวกับวงการโฆษณาเช่นกัน เเต่ผมอยากทำงานเป็นนักออกเบบก่อนเพื่อจะเก็บประสบการณ์ทางด้านการออกเเบบให้มากที่สุด

ส่วนในอิกด้านึงทีผมชอบคือนักดนตรี ผมศึกษามาบ้าง เเต่ก็หยุดเล่นมานานพอสมควรหลังจากเข้าเรียนที่นี่ เนื่องจากว่าเพื่อนๆที่เคยเล่นด้วยกัน ก็ต่างเเยกย้ายไปตามที่เรียนอื่นๆ เเละกลับมาเล่นอิกครั้งในวิชา digital sound design ในวิชาเลือกปีสาม ก้ทำเพลงเพื่อจะส่งในวิชานั้นมาหนึ่งเพลง เเละก็กะว่าจะหาเวลาว่างในการทำเพลงต่อ
ส่วนอิกด้านคืออยากจะทำรายการที่ทำให้คนคลายเครียด นั่นคือรายการตลก ฮ่าๆ หลังจากมีประสบการณ์จากการทำงานมามากพอเเล้ว ก็อาจจะมาทำเสริมบ้างเล็กน้อย ฮ่าๆๆ

ผมอาจจะอยากได้อยากเป็หลายอย่าง เเต่สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหม ด ผมก็อยากทำอาชีพนักอออกเเบบที่สุด เเต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมอาจจะไม่ได้ทำที่พูดมาเลยก็ได้ เเต่ไม่ว่าจะทำอะไรผมก็ขอทำอาชีพนั้นด้วยการที่ทำให้คนยอมรับได้ ไม่ต้องมีชื่อเสียง เเต่มีคนยอมรับก็พอ นั่นคือเป็นคนที่มีดีนั่นเอง

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2550

Statement of my life

ในอนาคตในภายภาคหน้าคือเรื่องที่คนมักจะพูดได้เเทบทุกคนว่าอย่างจะเป็นอะไรเเละอยากจะทำอะไรเเต่มันอาจจะเป็นเเค่คำพูดที่ดูไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะถ้าเราไม่มีการเตรียมพร้อมหรือทำบางอย่างเพื่อให้เเผนการที่เราวางไว้ในอนาคตได้สมดังที่เราหวังหรือไม่ก็ใกล้เคียง ส่วนในชีวิตที่ล่มๆของผมก็คงไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไปที่มีความต้องการ ความอยากจะเป็นเหมือนคนอื่นๆเค้าเหมือนกัน สิ่งที่ผมต้องการจะเป็นก็คือนักออกเเบบหรือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้มาซึ่งผมอาจจะไม่ได้ดูโดดเด่น งานก็ไม่ได้ดูดี เเต่นั่นก็คือความฝันอันนึงที่ผมอยากจะไปเป็นนักออกเเบบที่ดี ดังนั้นผมรู้เเล้วว่าสิ่งที่มันจะทำให้ผมเป็นในสิ่งที่ผมต้องการได้ ผมต้องเริ่มจากการที่ต้องศึกษาซึ่งผมก็กำลังทำอยู่ซึ่งมันอาจจะไม่เพียงพอ เนื่องจากอาจจะต้อง ศึกษในรูปแบบอื่นๆด้วย ในหลายๆด้าน เเละทำชีวิตประจำวันให้ดูเป็นนักออกเเบบด้วยความเคยชิน ทำให้เป็นนิสัย ชีวิตประจำวัน อย่างทฤษฏีของคุณหนูดีที่บอกว่าทำให้บ่อยครั้งหรือทุกวันจนชินประมาน 22 วันหรือมากกว่านั้นเเล้วเราจะรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เราต้องทำทุกวัน เเต่ที่พูดมาทุกคนที่ต้องการจะเป็นก็ทำได้ เเต่ผมมันตคิดอยู่ที่ว่า ผมเป็นคนขี้เกียดมากถึงมากที่สุดซึ่งเป็นสิ่งที่ผมยังเเก้ไม่หายมันอาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่ได้สนุกกับงานที่ทำหรือผมอาจจะไม่ได้รู้เรื่องที่ผมทำดีพอเลยไม่ค่อยอยากจะทำ เเละอิกอย่างนั่นคือผทเป็นคนที่มีสมาธิสั้นทำไรมักไม่ได้นาน เบื่อง่าย อิกอย่างที่เกี่ยวกับสายที่เรียนมาผมอยากจะเป็นครีเอทีฟที่คิดเกี่ยวกับหนังโฆษณาเช่นกัน เนื่องจากว่าผมได้ชอบดูโฆษณามาก เเละที่ทำให้ชอบคือโฆษณาที่มันเศร้าๆเลยอยากจะลองไปทำบ้างว่าเราจะทำได้หรือป่าว เลยพยาบยามคิดงานเเอด เวลาที่เรียนรู้สึกสนุกมาก เเต่ส่วนงานของผมก็ไม่ไดดูโดดเด่นอิกเช่นกันมักจะอยู่ในระดับกลางเสมอ ดังนั้นผมจึงต้องพยายามเเอ๊คทีฟตัวเองให้ขึ้นมาให้ได้ซึ่งผมก็ควรจะเริ่มอะไรบางอย่างเพื่อจะได้สิ่งที่ต้องการ ผมรู้ตัวเสมอว่าสิ่งที่พูดมาทุกคนกเเป็นได้ เเต่ใครจะเริ่มสร้างบางอย่างได้มากกว่ากันเพื่อต้องการสิ่งที่ได้มา เเต่ผมก็จะพยายามให้ได้มันมาเหมือนกัน เเม้อาจจะดูไกล (มาก) เเต่สักวันมันจะเป็นของผม ออกเเนวให้กำลังใจตัวเองกันไป ฮ่าๆ เเต่อย่างที่บอกทุกวันนี้สิ้งเร้ามันช่างเยอะมากมาย ทั้งผู้หญิง เหล้า เพื่อนฝูง ซึิ่งที่พูดมาทุกคนที่ประสบความสำเร็จก็อาจจะมีได้เเต่ก็ไม่ใช่บ่อยๆ เหมือนผม ฮ่าๆ ยิ่งบวกกับความขี้เกียดสันหลังยาวที่ผมเป็นอยู่ยิ่งเเสดงออกถึงคำว่า ล่ม ได้ดีมาก ซึิ่งคำนี้มันมักมาใกล้ตัวผมเสมอ ผมเป็นคนที่มีอารมณ์ดีมากถึงมากที่สุดเเม้เวลาที่ตึงเครียดก็ตาม อาจจะดูเหมือนคนไม่มีสาระในภายนอก เเต่ภายในนั้นก็ไม่มีจริงๆ เเต่บางครั้งมันก็มาไม่ถูกจังหวะเหมือนกัน ผมเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย ตลกเฮอาในหมู่เพื่อนฝูง ดังนั้นมีเพื่อนหลายคนบอกว่า "วิทย์มึงไปเล่นตลกดีกว่าไป" จึงทำให้ผมมาคิดว่าถ้าไม่มีงานทำจริงๆอาจจะไปเล่นตลกซะเลย อิกอย่างเดี๋ยวนี้ตลกงานดีเงินดีด้วย ฮ่าๆ

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2550

Sequence 8




Sequence 7




Sequence 6






วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2550

Concept Imagination of me

จินตนาการ ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เป็นคำที่อยู่ภายในกลุ่มของ จินต- , จินต์ ซึ่งเป็นคำกริยา ที่แปลว่า คิด ส่วนคำ จินตนาการ เป็นคำนาม แปลว่า การสร้างภาพขึ้นในจิตใจ

เหตุการที่เกี่ยวกับจินตนาการของผม เป็นจินตนาการตามความเข้าใจของผม ว่ามันอาจจะเกี่ยวกับประสบการณ์ ความเข้าใจของเเต่ละคน ซึ่งใครมีประสบการมาอย่างไร ย่อมมีจินตนาการไปในรูปแบบนั้น เเล้วเหตุการณ์ของผมก็พึ่งเกิดขึ้นมาไม่นานนี้เอง เนื่องจากว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาผมมีอาการไม่สบายเนื่องจากว่าเป็นโรคอีสุกอีใส เเล้วมันก็มีไข้ ทำให้ผมนอนซม เเล้วก็ปวดศรีษะมาก เเล้วในวันนึงผมนอนอยู่เเต่ยังไม่ได้หลับรู้สึกปวดหัวมากก ผมมองไปที่เพดานด้านบน ผมเหนหน้าคนซึ่งมีรูปร่างเเปลกตา ลางๆ เป็นเหมือนมนุษย์ที่มีรูปร่างเหมือนคนเเต่ไม่ใช่คนธรรมดามองมาที่ผม ผมตกใจมาก เเต่ผมไม่รู้จะทำยังไง อาจจะเกิดได้ว่าผมมีไข้จนเบอลเเล้วฟุ้งซ่านไปเอง อาจเป็นความเพ้อฝัน ประสบการณ์ ความเข้าใจ เเล้วก็เรื่องที่ปมคิดอยู่ในช่วงนั้น ช อาจจะนึกขึ้นมาลอย ๆ ว่าช่วงนี้คิดเรื่องงานหรือคิดเรื่องใดอยู่ เพราะว่ามนุษย์ที่เห็นนั้นมันได้หายไปเเล้วก็เห็นเป็นดวงดาวที่มีเเต่วงกลม เเล้วกระเเสไฟฟ้ามาทำให้มันระเบิดไปทีละจุด ทำให้ผมคิดไปถึงงานคอมดีไซซึ่งเรียนอยู่เเล้วผมก็คิดหนักกับมันบ่อยๆ เนื่องจากมันยังไม่ผ่าน มันเป็นเหตุผลประกอบ มาเป็นมูลฐานของการสร้างภาพก็ได้ เหมือนว่าผมอาจจะหลับหรือครึ่งหลับครึ่งตื่น เเล้วบวกกับการที่ไข้ขึ้นอาจจะทำให้ผมคิดมากไปเอง เเละนี่คือเรื่องเหตุการณ์ที่ผมคิดว่ามันคือจินตนาการของผม เพราะว่ามันเกิดจากความคิดที่มีสติหรือไม่มีสติก็ได้ เป็นความคิดที่มีประสบการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆมาผสมปนเปกัน
จากการที่ได้เล่าเรื่องมาอาจะจมีโครงได้ว่าการที่ผมมีเรื่องที่มีอยู่ในหัวมากเท่าไหร่เเล้วความที่เน้นไปที่เรื่องใดมากเท่านั้นมันก็จะทำให้เกิดการวนเวียนอยู่กับเรื่องนั้นๆ อาจะมีโครงได้ว่าการนำเอาเหตุการณ์เเต่ละเหตุการณ์ในหัวมายำรวมกัน เหมือนการฝันที่อยู่กับเรื่องนึงเเล้วสักพักไปโผล่อิกเรื่องนึง เป็นโครงที่เหมือนกับอาจารย์พูดว่าการที่มีของอยู่ในลิ้นชักหลายๆอันเเล้วนำมาใส่รวมกันเเต่ของผมมันอาจจะไม่มีความสัมพันธ์กันเท่าไหร่ เนื่องจากอาจจะเป็นการเพ้อจากการที่มีไข้ เเละนี่คือเหตุการณ์ที่เป็นจินตนาการของผมที่เกิดขึ้นมาไม่นาน

sequence 5

อันนี้นำ type มาช่วยในการนำเสนอ สื่อเกี่ยวกับการวัดสายตาโดยให้ลูกตากระตุกเป็นจังหวะ


sequence 4


วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2550

sequence 3

อันนี้เล่นเรื่องของหลอดไฟที่มีการเชื่อมต่อกัน เกิดเเสงเมื่อมีการตีเกิดขึ้น ก็เเทนหลอดเเต่ละหลอดเป็นกลองเเเเต่ละใบเช่นกัน
ตามภาพ





sequence 2

นำเสนอเรื่องของกีฬาบาสเกตบอลเนื่องจากไดดูกีฬาชนิดนี้เวลามันกระเเทกลูกบาสเลยนึกไปถึงจังหวะของกลอง ก็จะเเทนด้วยกลองเเต่ละใบกับลักษณะของการเล่นบาสเกตบอลเช่นเดิม เช่น การเด้งลูกกับพื้นเเทนเสียงกระเดื่อง การที่ลูกลงห่วงเเทนการตีเเฉ การที่ก้าวเท้าที่จะชู๊ตเเทนการตีทอม ตามภาพตัวอย่าง เป็นวีดีโอ


sequence 1

นำเสนอเป็นวีดีโออาร์ตที่สื่อสารเกี่ยวกับจังหวะของกลองโดบยเเทนเสียงของกลองเเต่ละใบด้วยการกระทำขอลักษณะอาการในเเต่ละเเบบ เช่นเสียงของการตีสเเนร์อาจจะเป็นการตอกตะปูเป็นต้น ดังรูป โดยเเต่ละอย่างก็จะเเทนในเเต่ละเสียง
ตามภาพตัวอย่าง