วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

สรุปการเปลี่ยนจังหวะหรือระบบของ sequence


สื่อที่ใช้ในการออกเเบบคือ timebase media สาเหตุที่เป็นคือเนื้อหาของระบบที่เปลี่ยนสื่อไปในเรื่องของจังหวะความเร็วในเรื่องของการกรอ dvd จึงคิดว่าน่าจะสื่ออกมาในรูปแบบนี้ได้ชัดเจนกว่าในเเนวทางอื่น
ที่มาของความคิดคือเนื่องจากได้ไปสังเกตการดูหนังสักเรื่องนึงเเล้วมีการกรอเกิดขึ้น จึงคึดว่ามีความน่าสนใจ เพราะในการกรอ จะมีความเร็วที่ต่างกันในเต่ละเฟรมภาพของเเต่ละ x
วัตถุประสงค์คือ เพื่อสร้างความเข้าใจต่อคำว่า seequence ในเรื่องของการเปลี่ยนจังหวะเเละความเร็วของเฟรมภาพในเรื่องที่เกี่ยวกับการกรอ dvd
การดำเนินการคือทำการค้นคว้าเเละทดลองเพื่อให้เกิดความสำเร็จในโปรเจ็ค

example project เเบบปกติ เเละที่ต้องกรอ





นี่เป็นการเปรียบเทียบให้ดูระหว่างภาพที่มีการเคลื่อนไหวที่เป็นปกติ กับ ภาพที่ถูกทำให้ช้าลงโดยภาพที่ช้าลงนั้นต้องกรอโดยใช้ในเเต่ละ x จึงจะเกิดการเคลื่อนไหวที่เป็นปกติ

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

example project

example project ( rawrrr!!! )

ตัวอย่างงานทำให้รู้ว่างานจะมีจังหวะประมานไหนในเเต่ละ x สาเหตุที่ทำเป็นสื่อของ timebase media คือเพราะเนื้อหาของระบบที่เปลี่ยนสื่อไปในเรื่องของจังหวะความเร็วในเรื่องของการกรอ dvd จึงคิดว่าน่าจะสื่ออกมาในรูปแบบนี้ได้ชัดเจนกว่าในเเนวทางอื่น มีตัวอย่างอยู่สี่ช่องในเเต่ละช่องจะมีความเร็วที่ต่างกันในเเต่ละ x ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ภาพมันดูม่ายสมบูรณ์ไม่เป็นจังหวะความเคลื่อนไหวเเบบปกติเป็นการ slow ภาพ จึงทำให้ต้องกรอดูในเเต่ละ x ก็จะทำให้เกิดภาพปกติเเค่ช่องเดียวนันั่นคือช่องที่มีการตั้งไว้ว่าถ้ากรอ 2x ก็จะทำให้ช่องเเรกมันเป็นภาพที่มีการเคลื่อนไหวเเบบปกติ ส่วนในช่องอื่นก็จะยังไม่ปกติ จนกว่าจะกรอในระดับที่ช่องๆนั้นมีการเซตไว้ว่าเท่าไหร่ เนื้อเรื่องอาจจะเป็นเรื่องเดียวกันเเต่มีการเปลี่ยนระบบเเละจังหวะที่ไม่เหมือนกัน

content ( กอนเต๊น )

ส่วนในเรื่องของเนื้อเรื่องที่จะเอามาทำงานก้พยายามจะหาเรื่องที่มันสมเหตุสมผลกับ โครงสร้างของ sequence ที่ได้มาคือการเปลี่ยนระบบหรือจังหวะ ในเรื่องของการกรอ dvd หลายครั้งที่ผมมองไปในหลายเรื่องเเล้วไม่รู้ว่ามันจะเหมาะสมหรือป่าว เเต่ก้มาคิดดุบางเรื่องมันก้ไม่เหมาะสมจิงๆ เลยคิดไปถึงเรื่องที่เกี่ยวกับกีฬาที่ต้องใช้ความเร็ว ก็เพราะว่าถ้าเราดูกีฬาที่ใช้ความเร็วเเล้วภาพมันดูช้า โดยที่มันไม่ได้อารมณ์ถึงความเร็วที่เราอยากจะดูหรือเป็นปกติ เราก็จะไม่ได้อัทรสในความมันของมัน หรือเรื่องในชีวิตประจำวันทั่วไปที่มีความเร็วหรือจังหวะที่ตายตัวเป็นปกติทั่วไป หรืออาจจะเกี่ยวกับการสอนอะไรสักอย่าง เช่น การเต้น การโชว์ทักษะในเเต่ละเเบบเพราะว่ามันจะมีทั้งภาพ slow เเละภาพปกติ การดูภาพที่มันช้าๆ มันก็เหมือนการดูขั้นตอนการทำอย่างช้าๆได้เห็นขั้นตอนอย่างชัดเจน เเล้วพอถึงการกรอในเเต่ละ x ก้จะเป็นภาพปกติ เป็นความเร็วที่ปกติทั่วไป เลยทำบางอย่างให้เกิดสาเหตุของการกรอเเล้วจะทำให้เกิดภาพที่สมบูรณ์ของเเต่ละ x โดยคำนึงถึงความเร็วของเฟรมภาพ

Sequence!!! forward and backward project


จากการที่ไปคิดเรื่องของการกรอมาหลายเรื่อง โดยหาว่าการทำให้เกิดการกรอต้องมีสาเหตุอย่างไรบ้าง จึงไปหาข้อมูลเกี่ยวกับการกรอในเเต่ละ x มาใน dvd มีการกรอตั้งเเต่ 2x,4x,8x,20x จะมีความเร็วที่ต่างกันยิ่งมาก x ยิ่งเร็วเกิ๊นนนน จึงคิดไต่งๆนานาว่าจะทำยังไงให้เกิดการกรอ คิดไปจนว่าการทำภาพในเเต่ละช่วงให้ดูน่ารำคาญ เช่น การกระตุก การสั่น หรือการทำเรื่องราวให้ขาดตอนทำให้คนดูเกิดการเบื่อ เเล้วจะทำให้ต้องการที่จะดูซีนอื่น เลยต้องกรอ ไปจนถึงว่ากดปุ่มไรก็จะกรอไปหมดเลย เต่มันต้องไปทำระบบใมห่เป็นเรื่องยากมาก ฮ่าๆ จึงมาคิดได้ว่าจะทำเป็นการสร้างจอภาพมาในหนึ่งจอเเต่มีสี่ช่องนั่นคือในเเต่ละช่องจะสื่อว่ามันคือในเเต่ละ x คือ 2x,4x,8x,20x จะทำภาพให้มันไม่สมบูรณ์นั่นคือทำภาพให้มันช้า หรือเร็วกว่าปกติคือตามเฟรมภาพของในเเต่ละ x ความเร็วนั่นเองทำให้เวลาต้องดูมันต้องกรอถึงจะได้ภาพที่สมบูรณ์คือภาพที่มีเห็นเป็นภาพที่มีจังหวะการเคลื่อนไหวเเบบปกติทั่วไป สมบูรณ์ในลักษณะของเฟรมภาพ ถัเลือกการกรอในระดับใด ก้จะเห็นภาพเป็นปกติในช่องที่เป็นระดับ x ที่เลือก เช่นการเลือก 2x ภาพในช่องของ 2x จากที่เคลื่อนไหวช้าก็จะเคลื่อนไหวได้เป็นปกติที่เราดูตามโทรทัศน์ทั่วไป ก็จะทำให้จำนวนช่องที่มีอยู่สี่ช่องจะดูได้สมบูรณ์ได้เป็นปกติเเค่ช่องเดียวส่วนช่องอื่นก็จะไม่สมบูรณ์ไม่เร็วไปก็ช้าไป โดยที่เนื้อเรื่องจะเป็นเรื่องเดียวกัน เเต่อาจจะเป็นหลายมุมมองก้ได้ หรืออาจจะเป้เรื่องเกี่ยวกับกีฬาที่เกี่ยวกับความเร็ว อาจจะสื่อทำให้ภาพมันต้องการสิ่งที่เป็นปกติมากกว่า

เกี่ยวกับ x การเขียนเเผ่น dvd


ขอ้มูลของการไร้ท์เเผ่นโดยการใช้ในเเต่ละ x เริ่มการทดสอบด้วยการเขียนแผ่นที่ความเร็วสูงสุดในการเขียนของไดรฟ์ 16X โดยแผ่น DVD ที่ใช้เขียนเป็นชนิด ทดสอบเขียนที่ความเร็ว 2X ใช้เวลาเขียนอยู่ที่ 29.35 , 4 X ใช้เวลาเขียน 1 4.15 นาที , 8x ทำเวลาในการเขียนออกมาอยู่ที่ 8.04 นาที , 16x ใช้เวลาในการเขียนอยู่ที่ 5.26 นาที

ประมาณได้ว่า


ความเร็ว 2x
—>28 - 39 นาที
ความเร็ว 4X
—> 14 - 15 นาที
ความเร็ว 8X
—> 8 - 9 นาที
ความเร็ว 12X
—> 6 - 7 นาที
ความเร็ว 16X
—> 4 - 5 นาที
ความเร็ว 24X
—> 2 - 3 นาที


ส่วนความเร็วในการอ่านหรือบันทึกแผ่น ในแต่ละ 1x จะมีความเร็ว 36 เมกะบิต ต่อ วินาที นั่นหมายความว่า 4x นั่นจะสามารถบันทึกได้เร็วถึง 144 เมกะบิต ต่อ วินาที

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

rawrrrrrr!! dvd forward and backward


forward and backward 2x,4x,8x,20x

ในการกรอ dvd มีการกรอทั้งไปทั้งกลับหลายระดับเเต่ละระดับมีความต่อเนื่องหรือจังหวะของเฟรมภาพที่มีความเร็วที่ต่างกันยนิ่งมาก x ก็ยิ่งมีความถี่มากกกว่า

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

Ohh! การทดลอง Sequence 1

เนื่องจากไปศึกษาเเละถามเกี่ยวกับสาเหตุที่ว่า ทำไมต้องกรอเวลาดูหนังหรือดูไรสักอย่างที่เป็นสื่อ ได้มาว่า เนื่องจากบางทีหนังมันยืดเยิ้อ น่าเบื่อ เคยดูเเล้ว ดูค้างไว้ อยากไปดุตอนที่สุดยอดเลย อะไรประมานนั้น เลยคิดว่าจะทำยังไงดีให้คนต้องกรอ เลยคิดว่าจะทำสือ่ที่มีภาพที่ขาดตอยน บังคับให้คนต้องกรอ โดยมนำเรื่องที่คนสนใจมากก่อน เเล้วภาพหายไป ทำให้คนงงว่าหายไปเเล้วเลยต้องกรอ เพื่อไปเจอภาพที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งเเต่ละคนก็ก็มีความต้องการในการกรอที่มีความเร็วต่างกัน เพราะว่าบางคนอาจจะขี้เกียดรอเลยฝช้ความเร็วที่เยอะกว่า เเล้วนำเรื่องมาสลับกันให้คนงงว่า ต้องกรอกลับไปดูอันที่ผ่านมาใหม่ ว่ามันเป็นอย่างงี้เพราะอะไร

Logo Band Rock







ผมชอบฟังดนตรีที่เกี่ยวกับเเนวเฮฟวี่หรือออกๆปทางเพลงหนักๆ ที่คนบางคนอาจจะรำคาญ เเต่ผมชอบสร้างความรำคาญ ฮ่าๆ เลยไปสนใจรูปแบบของ logo band มันเป็นงาน illustration ที่สนใจมากในระดับหนึ่งเเต่ผมไม่ค่อยเก่งเเละส่วนมากงานที่ผมชอบจะเป็นวงต่างประเทศซะส่วนใหญ เพราะวงไทยมีน้อยมากในเเนวนี้ที่จะทำหน้าปกหรือโลโก้เเบบนี้เพราะว่าการตลาดเมืองไทยต้องเอารูปศิลปินขึ้นปกมากกกว่าเเม้บางคนหน้าตาอาจจะหล่อหรือสวย (ตรงไหน)ก็ตาม ฮ่าๆๆๆ เป็นการสื่อสารที่ดีที่สุดเเต่ผมว่ามันมีความเป็นศิลป์น้อยไป จึงเอาโลโก้ ของวงมาให้ดูกันที่สนใจ

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

การเปลี่ยนจังหวะหรือระบบของ sequence 2

จากครั้งที่เเล้วที่พูดไป ผมก็ยังคงรู้ได้เเค่ระบบที่คิดขึ้นมาว่าเป็นอย่างไร ก็คือ การเปลี่ยนจังหวะหรือระบบของคำว่า sequence โดยมองไปที่เรื่องของการกรอหนังมีหลายลักษณะ เช่น 2x,4x,6x ไปจนมากที่สุดเเล้วเเต่รุ่นที่ใช้ก็จะมีความเร็วหรือจังหวะของภาพที่ต่างกันในเเต่ละ x ของมัน จึงคิดไปว่าเวลาคนจะกรอหนังสักเรื่องนึงมันต้องมีสาเหตุบางอย่างยิ่งกรอเร็วก็ยิ่งมีสาเหตู สาเหตูหลักๆน่าจะคือ ดุเเล้วหรือดูค้างไว้ หรือความน่าเบื่อของหนัง อยากจะไปดูบางตอนมากกว่า รือมีจุด climax ที่ดึงดูความสนใจ ล้วนเเต่เป็นเงื่อนหลายอย่างในการที่คนจะกรอ

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

มายาคติ


จากการที่ได้อ่านบทนำของหนังสือชื่อ มายาคติ ของโรล็องด์ บาร์ต ก็ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องมายาคติ จากการที่ผมไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าไหร่ เเต่เคยได้ยินเพื่อนๆพูด ก็รู้ว่า คำว่ามายาคติมีความหมายประมาณว่าจากการที่บาร์ตนิยามมาว่า คือ การสื่อความหมายด้วยคติความเชื่อทางวัฒนธรรมซึ่งถูกกลบเกลื่อนให้รับรู้เสมือนว่าเป็นธรรมชาติ เเละจากการที่เราวิคราะห์กับเพื่อนเเละอาจารย์ในห้อง ก็ได้ถอดออกมาทีละคำทำให้ได้รับรู้ความหมาย คือ ขยายความหมายให้เข้าใจง่ายเเละลึกซึ้งขึ้นมาได้ คือการสื่อความหมายด้วยอะไรก็ตามที่มีผลต่อการรับรู้ในเชิงของความหมายเเละถูกทำให้มันเป็นเหมือนว่ามันเป็นปกติทั่วไป เเต่บาร์ตกล่าวไว้ว่าจริงหรือว่าทุกอย่างเป็นมายาคติได้หมดสิ้น บอกว่ามนุษย์สร้างความหมายขึ้นมาอย่างไม่สิ้นสุด เเล้วทำให้มันเป็นเหยื่อ ของวาทะได้ทั้งสิ้น ( เหยื่อของเงื่อนไขที่มาทำให้เป็นมายาคติ )
เเล้วสิ่งที่ผมเจอมาในเรื่องเกี่ยวกับดนตรีคือในเรื่องของดนตรีที่ชื่อว่า emo ( ซึ่งย่อมาจากคำว่า emotion harcore จากหนังสือดนตรีเล่มหนึ่ง ) การที่ดนตรีในเเนวนี้ดังขึ้นมาเริ่มจากกระเเสดนตรีฝั่งอเมริกาได้เเผ่ซ่านเข้ามาในไทย ประเทศซึ่งชอบรับวัฒนธรรมประเทศอื่นจังเลย รวมผมด้วย ฮ่าๆ ทำให้วงดนตรีในไทยเริ่มมีการเอาดนตรีเเนวนี้มาทำกันเยอะมาก จนไม่รู้ว่าอีโมจริงหรือป่าว หรือว่าเป็นเเค่ อีโม คลายกรดลดเเน่นเฟ้อ ว่ากันไป เเต่จากประสบการณ์ที่ผมได้ยินเเละรับฟังมา พอดนตรีอีโมดังขึ้นมาชุมชนเด็กไทยใจอีโมก็เกิดขึ้นมา ท่ามกลางวงดนตรีต่างประเทศที่กระหนำออกมาหลายวงมาก บางวงก็เป็นดนตรีอีโมจริงๆ ( เพราะว่าวงเค้าบอกว่าเค้าคืออีโม ) เเต่บางวงก็ออกมาในช่วงที่ดนตรีอีโมกำลังดังก็ถูกมองว่าเป็นวงอีโม ทั้งที่เค้าไม่ใช่เลยเเม้เเต่นิดเดียว บางวงก็เป็นเมทั่ล เป็นดนตรีหวานๆ ก็ยังถูกมองว่าเป็นอีโมไปกันหมด เหมือนว่าใครทำดนตรีหนักๆออกมาในช่วงนี้ก็ถูกมายาคติของคนที่รู้เเค่ว่าดนตรีอีโมมันต้องหนักๆเเหกปาก สำรอก ถูกมายาคติกลบว่าเป็นวงอีโมซะหมดเลย ผมเคยได้ยินเพื่อนพูดกันว่า ผมเปิดเพลงของวงๆนึงขึ้นมาซึ่งมันเป็นวงของประเทศอังกฤษ เป็นเเนว เมทั่ล เดธคอร์ ( วัยรุ่นที่อังกฤษกำลังนิยมในช่วงนี้ ) เพื่อนก็มาบอกว่า '' เฮ้ย มึงอีโมหรอ ฮ่าๆๆ" ผมก็ไม่อยากจะอธิบายต่อ ผมได้เเต่งงว่ามันอีโมตรงไหนวะ มึงเอาไรมาวัดว่ามันคืออีโมหรือว่านักร้องนำโทรมาบอกมึง ถ้ามันโทรมาบอกช่วยให้มันโทรมาหากูด้วย ฮ่าๆ เพราะเค้าถูกมายาคติครอบมาเเล้วว่าดนตรีอีโมต้องเป็นเพลงเเบบหนักๆ สำรอกๆ พูดเเล้วเศร้า ไม่ใช่ว่าผมเกลียดเเนวดนตรีอีโมนะผมก็ฟัง เเต่ตอนนี้ผมได้เห็นเด็กๆเเต่งตัวเเนวนี้มากันเยอะบางคนก็รู้จักบ้างเเต่บางคนไม่รู้เลยด้วยว่ามันคือไร โอเคมึงเเต่งก็เเต่งด้วย เเล้ววงบางวงที่ต่างประเทศเค้าดังเค้าจะทำทรงผมหัวเป๋ๆหน่อยเเบบว่าโกนตัดข้างนึงหรือว่าทำไงก็ได้ให้อิกข้างยาวกว่า จนเกิดผลกระทบต่อคนที่ตัดผมประมานนี้อยู่เเล้ว ฮ่าๆ ผมมาระบายเเค่นี้เเหละ เด้กสมัยใหม่หรือคนที่ไม่ได้รู้จักความหมายคำว่าอีโมจิงถูกมายาคติในช่วงนี้เเบบเผินๆครอบงำไปหมดเเล้วว่าเป็นอย่างโง้นอย่างงี้ ความจิงผมก็ไม่ได้รู้ไรมากกว่าคนอื่นเท่าไหร่หรอก เเต่ก็รู้มาพอตัวเหมือนกัน ขนาดทีโบนเล่นคอนเสิตยังตะโกนบอกเเฟนเพลงว่า this is a emo you know EMO come to town ฮ่าๆๆ ป่าวๆอันนี้ผมล้อเล่น จริงๆเเล้วจากคำว่าอีโมเปลี่ยนเป็นคำว่าทีโบนอะเเหละ จบการระบายเเต่เพียงเท่านี้ สวัสดีชาวอีโม คลายกรดลดเเน่นเฟ้อ

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

การเปลี่ยนระบบเเละจังหวะของ sequence

การเกิด sequence มีอยู่ในทุกสิ่งอย่างไม่ว่าเราจะทำไรทุกอย่างย่อมมี sequence หมดเเหละ แต่ในทฤษฏีการเปลี่ยนระบบเเละจังหวะของ sequence คือการเปลี่ยนสถานการณ์ไปอิกอย่างนึง ซึ่งเราเป็นคนกำหนดเองว่า ราจะเปลี่ยนไปอย่างไร เช่นการนับเลข เราจะให้มันเพิ่มที่ละสอง ทีละสิบ หรือลดมาทีละสามก็เเล้วเเต่ที่เราเป็นคนกำหนดเอง จึงคิดไปถึงเรื่องของการเร่งจังหวะการทำให้ภาพช้า การเร่งเจงหวะของเสียง หรื่อเรื่องความถี่ของเฟรมภาพคิดไปถึงเรื่องของการดูหนังสักเรื่องนึง เเล้วเราสามารถที่จะเพิ่มความเร็วได้ เพราะมันมีทั้งการเร่งที่มีลักษณะต่างกัน เช่น 2x,4x,8x ,ลักษณะเฟรมภาพก็จะมีความถี่ต่างกัน การเร่งจังหวะภาพในเเต่ละเเบบ หรือการเร่งความเร็วของเสียงก็มักจะเกิดการเปลี่ยน sequence ที่มีความต่างกัน อาจกล่าวถึงเรื่องของบีทของดนตรีใส่ไปพร้อมกับภาพที่ถูกกำหนดว่าด้วยเรื่องของเสียงเเล้วจังหวะที่นับข้ามกัน

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

Thinking

ความคิดเชิงสร้างสรรค์ (CREATIVE THINKING) คือการขยายของขอบเขต ความคิดออกไปไปจากแนวหรือกรอบความคิดเดิมๆที่มีอยู่ เป็นการใช้ความคิดในเชิงบวก กล้าที่จะฝ่าวงล้อมออกไปสู่แนวใหม่ๆที่ไม่เคยมีมาก่อน เน้นความคิดที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับหรือกฎเกณฑ์เดิมๆ หรือที่ยึดถือมาจนเคยชิน
- การนำสิ่งของที่ดูหมดประโยชน์หรือไม่ได้ใช้เเล้วนำมาสร้างสรรค์ เช่นการนำเศษเหล็กมาประกอบเป็นหุ่นยนต์ เป็นความคิดสร้างสรรค์ที่นำสิ่งเดิมที่มีอยู่มาสร้างสรรค์ใหม่ได้ดูน่าสนใจ
ความคิดเชิงประยุกต์ (APPRECIATIVE THINKING) คือความสามารถในการ นำสิ่งต่างๆที่มีอยู่เดิม ไปใช้ประโยชน์ในวัตถุประสงค์ใหม่ได้ โดยสามารถเปลี่ยนแปลงจากนามธรรมเป็นรูปธรรม ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง และสามารถปรับใช้สิ่งที่มีอยู่เดิม ให้สอดคล้องเข้ากับบุคคล สถานที่ เวลา หรือเงื่อนไขใหม่ๆได้อย่างเหมาะสม
- เช่นการนำเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่เเล้วหรือเสื้อผ้าที่หมดยุคสมัยไปเเล้ว นำมาประยุกต์ตกเเต่งทำให้ดูทันยุคสมัยเเละทำให้เสมือนได้เสื้อผ้าชุดใหม่ เป็นการนำสิ่งของเดิมๆที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้ได้
ความคิดเชิงวิเคราะห์ (ANALITICAL THINKING) คือความสามารถในการสืบค้น ข้อเท็จจริงเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างโดยอาศัยใช้การตีความ การจำแนกแยกแยะ และการทำความเข้าใจกับองค์ประกอบของสิ่งนั้นๆ และองค์ประกอบอื่นๆที่มีความสัมพันธ์กัน รวมทั้งการเชื่อมโยงความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล
- อย่างเช่นอาชีพพวกการชันสูตรศพ มันต้องใช้การวิเคราะห์ที่ใช้ประสบการณ์ที่มีอยู่มาช่วยในการวิเคราะห์ จนสามารถหาสาเหตถุได้ในที่สุด
ความคิดเชิงเปรียบเทียบ (COMPARATIVE THINKING) การพยายามค้นหา ความเหมือนและหรือความแตกต่าง ขององค์ประกอบตั้งแต่ 2 องค์ประกอบขึ้นไป ทั้งนี้ เพื่อใช้อธิบายเรื่องเรื่องหนึ่งบนพื้นฐานของอีกเรื่องหนึ่ง ที่มีมาตรฐานหรือมาตรการบางอย่างซึ่งสามารถนำมาใช้เทียบเคียงกันและเพื่อการหยั่งรู้ความแตกต่างระหว่างของสองสิ่งนั้นได้
- เป็นการเปรียบเทียบในเรื่องต่างๆเช่นในสถานนการณ์ที่ทำงานมาส่งกันเเต่ละคนก็ทำงานในเเต่ละเเบบเเต่จะมีงานของบางคนที่ใกล้เคียงกันจึงการการเปรียบเทียบ ระหว่างงานต่องานกัน
ความคิดเชิงมโนทัศน์ (CONCEPTUAL THINKING) คือความสามารถในการ ประสานข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างไม่ขัดแย้ง และยังสามารถนำมา สร้างเป็นกรอบแนวคิดใหม่ขึ้นมาด้วย
- เช่นการจะทำงานงานหนึ่งในการเรียนวิชาออกเเบบ ก็ต้องหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเเละสามารถสนับสนุนเเละมีความเหมาะสมกับงานของเรา
ความคิดเชิงวิพากษ์ (CRITICAL THINKING) คือความสามารถในการคิดที่จะไม่ เห็นคล้อยตามเหตุผล หรือ ข้อกล่าวอ้างโดยทั่วไป แต่จะเป็นความคิดที่ท้าทายข้อกล่าวอ้างทั้งหลาย และกล้าโต้แย้งข้อสมมุติฐานที่อยู่เบื้องหลังข้อกล่าวอ้าง ทั้งปวง เป็นแนวคิดที่เชื่อว่า น่าจะมีโอกาสพิจารณาทางเลือกอื่น เหตุผลอื่น สมมุติฐานอื่น ซึ่งอาจสามารถทำให้ได้ข้อสรุปอื่น ที่อาจแตกต่างออกไปก็ได้
- เช่นความคิดนักวิทยาศาสตร์ทั่วไป
ความคิดเชิงอนาคต (FUTURE THINKING) คือความสามารถในการคาดการณ์ และประมาณการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตโดยการใช้เหตุผลทางตรรกวิทยา สมมุติฐาน ข้อมูล และความสัมพันธ์ต่างๆของเหตุการณ์ในอดีต และปัจจุบัน เพื่อการคาดการณ์ทิศทาง หรือขอบเขตทางเลือกที่สอดคล้องเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
- เช่น หมอดู คนทำนายต่างๆ ที่จะทำนายเหตุการณ์ในอนาคต โดจยใช้หลักทางไสยศาสตร์ที่เขารู้มาเป็นหลัก การวิเคราะห์เหตุการณ์
ความคิดเชิงบูรณาการ (INTEGRETIVE THINKING) คือความสามารถคิดใน การเชื่อมโยงเรื่องในมุมต่างๆเข้ากับเรื่องหลักได้อย่างเหมาะสม

ความคิดเชิงกลยุทธ์ (STRATEGIC THINKING) คือความสามารถในการกำหนด แนวทางที่ดีที่สุดภายใต้เงื่อนไข ข้อกำหนดต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดการบรรลุเป้าหมายที่ต้องการออกไปในมุมที่เป็นรูปธรรมอย่างเฉพาะเจาะจง
- เช่น การเสนอทีสิส ที่เราจะเอาหัวข้อมาทำงาน เราเชื่อมโยงเรื่องที่เราต้องการจะทำกันงานออกเเบเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์
ความคิดเชิงสังเคราะห์ (SYNTHESISTYPE THINKING) คือความสามารถใน การรวมองค์ประกอบที่แยกส่วนกัน มาทำการหลอมรวมกันภายใต้โครงร่างใหม่อย่างเหมาะสม

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

Sequence

การเปลี่ยนระบบของ sequence
จากการที่ได้ทำความเข้าใจกับคำว่า sequence มาหลายอาทิตย์เเล้ว เเล้วเพื่อนๆเเต่ละคนก็ออกความคิดของเเต่ละคนมา ผมจึงคิดเกี่ยวกับคำว่า ซีเคว้น ได้ว่า การเปลี่ยนระบบหรือจังหวะของ sequence ทำให้เกิด sequence ใหม่ออกมาอิก การเปลี่ยนระบบหรือจังหวะ เช่น การนับ 2, 4,6,8,10 เเล้วก็เปลี่ยนเป็นจาก 10,20,30 ประมาณนี้ทำให้เกิดทางใหม่หรือระบบการนับใหม่ของ sequence ทำให้มีทางเลือหลายทางที่เราจะกำหนดได้ว่าเราจะไปทางไหน สามารถเเตกไปได้หลายทาง นำมาสู่การคิดโปรเจ็คของผม

sequence

sequence โดยรวมที่ผมได้ฟังมาผมเข้าใจว่า คือความต่อเนื่อง เป็นลำดับๆ โดยอาจจะไม่ใช่หนึ่งไปสองอย่างเดียวอาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้ มีการเชื่อมโยงกันไป เเละมีความสมบูรณ์ เเละด้วยการที่ผมได้รู้มาว่าซีเคว้นมีอยู่ในเกือบทุกสิ่ง ผมเลยไปมองเรื่องของกระเเสไฟฟ้าเพราะเป็นสิ่งที่เราได้ใช้หรือพบเห็นกันทุกวัน เพราะว่าเเค่คนๆเดียวอาจจะทำให้เกิดเเสงออกมาได้เเละเกิดผลกระทบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีเเละไม่ดี เหมือนว่าเริ่มจาก โรงงานผลิตไฟฟ้ามาทำให้คนได้มีไฟฟ้าใช้กันทั้งเมือง การเดินทางของกระเเสไฟฟ้ามีซีเคว้นที่เกิดขึ้นมา อาจจะเป็นลำดับขั้นตอนบ้าง ไม่เปนบ้างเเต่โดยรวมเเล้ว มันมีความต่อเนื่องก่อนที่ไฟฟ้าจะมาถึงเรา เพียงเเค่เรากดสวิตไฟ กระเเสก็จะทำงานเป็นลำดับขั้นตอน เป็นความต่อเนื่งเดินทางเรื่อยมาจนมาเกิดเป็นไฟฟ้าให้เรา เเละมันอาจจะวิ่งวนอยู่ในกระเเสไฟฟ้าไปเรื่อยจนกว่าเราจะปิดไฟ เป็นการเชื่อมโยงกับคำว่า sequence เเละดำเนินเป็นหลักการ

cigarette


จากการวิเคราะห์ร่วมกันในห้องวันนั้น ได้รู้ความเป็นมาของการออกเเบบรณรงค์ให้คนสูบบุหรี่น้อยลง โดยการเอารูปในโรคต่างๆ มาวางในซองบุหรี่ วัตถุประสงค์คือการที่โดยต้องการสื่อให้คนรู้ถึงโทษของการสูบบุหรี่ โดยประเด็นการออกเเบบต้องการสื่อให้เห็นโทษที่ร้ายเเรง ให้เห็นความน่ากลัว โดยไม่คำนึงถึงความสวยงาม จากการที่เพื่อนๆพูดกันก็ส่วนมากจะเห็นด้วยกับสิ่งที่มีอยู่เเล้ว เเต่อาจจะทำให้ภาพหรือข้อมูลดูน่ากลัว อ่านเเล้วทำให้ไม่อยากสูบ เเต่ผมคิดว่าเค้าก็คงคิดมาเเล้วว่าอาจจะลดได้บ้าง เเต่ที่ฟังในห้องลงมาได้รู้ว่าเค้าคนที่ทำหรือคิดอันนี้มาก็คงคิดมาเเล้วว่า จะต้องเกิดการที่ทำให้บุหรี่เกิดความน่าสนใจขึ้นมาเนื่องจากการมีอะไรเเปลกใหม่มา ย่อมเกิดรีเฟล็กเสมอ ทำให้อาจเกิดในด้านบวกหรือด้านลบมาก็ได้ ด้านบวกคือคนอาจจะสูบน้อยลง เเต่ด้านลบคืออาจจะทำให้บุหรื่รู้จักเเละคนอยากลองมากขึ้น จากการที่ซองบุหรี่มีการคิดการรณรงค์ที่จะมีภาพที่จะเตือนขึ้นมา ทำให้เกิดการเเทรกแซง หรือการมาทำประโยชน์กับสิ่งที่มีประโยชน์ นั่นคือการที่ซองบุหรี่มีรูปภาพที่ทำให้น่ากลัวต่อการซื้อสูบ เเต่ก็มีคนอิกกลุ่มนึงหาทางมาทำประโยชน์ต่อการที่จะทำไงให้ไม่รู้สึกต่อภาพนั้นๆ นั่นคือการที่จะหลีกเลี่ยงที่จะดูภาพ จึงเกิดการทำกล่องที่ใส่ทับซองบุหรี่ขึ้นมา ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมา ทำให้การสื่อสารที่คิดค้นขึ้นมาว่ามีรูปบนซองบุหรี่เเล้วจะทำให้คนสูบน้อยลง เกิดการผิดพลาดออกมา ทำให้คนไม่ลดการสูบบุหร่มากเท่าที่ควรเเต่อาจจะเป็นการห้ามนักสูบใหม่ๆได้บ้าง จากที่ได้ฟังความคิดมาน่าจะไปรณรงค์สื่อทางอื่นๆมากกว่าทางนี้ เพราะมันจะเป็นเเค่การที่เป็นที่ตกใจในช่วงเเรกๆเท่านั้น เเละพอเวลาผ่านมาก้ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากขึ้นเลย รู้สึกชินไปเอง เเต่ที่เพื่อนๆได้พูดมาอาจจะเปลี่ยนรูปให้บ่อยขึ้น

ploy


พลอย เป็นเรื่องราวของคู่สามีภรรยาที่ความสัมพันธ์เริ่มเข้าสู่วังวนแห่งปัญหาหลังจากใช้ชีวิตคู่มา 7 ปี และเมื่อทั้งคู่เดินทางกลับสู่ประเทศไทย ฝ่ายสามีเผอิญเข้าไปยื่นให้ความช่วยเหลือกับเด็กสาวคนหนึ่ง
เรื่องย่อก็มีอยู่ว่า "สองสามีภรรยา วิทย์และแดงเดินทางกลับกรุงเทพเป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดปี เพื่อร่วมงานศพของญาติคนหนึ่ง ทั้งสองเช็คอินโรงแรมแห่งหนึ่ง วิทย์ลงเดินไปซื้อบุหรี่ที่ล็อบบี้ แดงภรรยาของเขาเปิดกระเป๋าจัดเสื้อผ้า เธอเจอกระดาษชิ้นเล็ก ๆ ในนั้นมีเบอร์มือถือของสาวชื่อ อ้อย แดงรู้สึกแปลกใจเพราะชีวิตคู่เจ็ดปีของคนทั้งสอง วิทย์ไม่เคยนอกใจ
ที่ล็อบบี้ วิทย์ได้เจอกับพลอย เด็กสาวที่กำลังรอแม่จากสต็อกโฮลม์ วิทย์เชิญเธอไปพักผ่อนที่ห้องของเขากับแดง เขาพยายามอธิบายเหตุผลให้ภรรยาของเขาฟัง แดงพยายามแสดงความมีน้ำใจให้กับพลอย แต่วิทย์เริ่มตระหนักว่าเขาตัดสินใจผิด เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของความรักและความหึงหวง
หนังเริ่มจากความระแวง เพราะการปรากฏตัวของเด็กสาวเพียงคนเดียว ทั้งคู่เริ่มตระหนักว่าพวกเขาเริ่มห่างเหินกันมากแค่ไหนในรอบเจ็ดปี ก่อนที่จะถึงจุดแตกหัก ในฉากสุดท้าย …. คนทั้งสองจะเผชิญหน้ากับทางเลือกที่ว่า จะแยกไปตามทางของตน หรือหันกลับมาสู่อ้อมกอดของกันและกันเพื่อจุดเริ่มต้นใหม่"

ในด้านความคิดของผมในหนังที่เกี่ยวข้องกับคำว่า sequence

ในหนังเรื่องนี้จะมีการเล่าเรื่องที่เหมือนมีหนังสองเรื่องในเรื่องเดียวกัน เป็น sequence ได้เหมือนกันเพราะว่าเค้าเปรียบเทียบระหว่างคนที่คบกันมาเจ็ดปี (เเต่หมิวบอกว่าเเปด) กับคนที่เพิ่งเจอกัน ทำให้เกิดเป็นวังวน มีความเกียวเนื่องกันตั้งเเต่พลอยได้เข้ามาในชิวิตของคนคู่นี้ทำให้เกิดทางเลือกที่ต้องเลือกเกี่ยวกับความรัก พลอยเข้ามาในชีวิตของคนสองคนทำให้เกิดผลกระทบไปเรื่อยๆเพราะว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ชีวิตคู่เริ่มไม่ลงรอยกัน ทำให้เกิดผลกระทบเป็นลำดับ( sequence ) เริ่มจากเเค่คนๆเดียวเข้ามาใชชิวิตคู่ของคนสองคน ฝ่าย ญ ก้เกิดเหตุการณืที่ไม่ดี ส่งผลกระทบไปอิกคนนึงที่โดนฆ่า ส่วนฝ่ายชายก็เกิดความเสียใจที่ภรรยาหนีไป เป็นผลกระทบไปตามลำดับ เเล้วผลกระทบทุกอย่างที่เกิดมันก็สัมพันธ์กันหรือ squence นั่นเองเเละ
เนื้อเรื่องมีความเกี่ยวเนื่องเเละสัมพันธ์กันอีกอย่างเพราะเนื่องจากว่ามันมีชีวิตคู่มากกว่า 1 คู่ในหนัง เเล้วพูดถึงว่าความรักเเต่ละรูปแบบ มันเป็นระบบความรักที่มีหลากหลายรูปเเบบ เเต่มันก็คือความรักเหมือนกันเเต่เเสดงออกมาไม่เหมือนกัน